ภาษา

บทความเพื่อสุขภาพ

ค้นหาบทความ

โรคไข้หวัดใหญ่ โรคฮิตที่ทุกคนป้องกันได้

????อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
✅ไข้สูง หนาวสั่น และเหงื่อออก
✅ เจ็บคอและไอแห้ง
✅ จาม มีน้ำมูกไหล
✅ ปวดศีรษะ
✅ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
✅ อ่อนเพลียมาก
✅ ท้องเสียและอาเจียนซึ่งพบได้บ่อยในเด็ก

????การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่
ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย เช่น มีใช้ต่ำ ๆ และยังรัประทานอาหารได้สามารถดูแลตนเองได้ ดังนี้

????รับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ พาราเซตามอล ยาละลายเสมหะ
????เช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะด้วยน้ำที่ไม่เย็นจัด
????ดื่มน้ำมากๆ เช่น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ งดดื่มน้ำเย็น
????รับประทานอาหารอ่อน และอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้
????นอนพักผ่อนมาก ๆ ในห้องที่มีการถ่ายเทอากาศดี

????????‍⚕️ ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อทุกราย เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อยา ยกเว้นผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นราย ๆไป

????การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
✅ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปี
✅ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไอ จาม หรือมีไข้ตัวร้อน
✅ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่มีช่วงระบาดของไข้หวัดใหญ่
✅ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
✅ ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

????การตรวจหาเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่
✅ Rapid Influenza Diagnosis Tests (RIDTs) แพทย์จะเก็บตัวอย่างเชื้อจากน้ำมูกในจมูกหรือเสมหะในลำคอของผู้ป่วยไปตรวจ เป็นวิธีที่ทราบผลการตรวจอย่างรวดเร็วภายใน 30 นาที แต่วิธีการนี้ไม่สามารถตรวจพบไวรัสที่มีความเข้มข้นต่ำได้ และสามารถแยกไวรัสได้เพียงชนิด A และ B เท่านั้น ในบางครั้งผู้ป่วยจึงยังติดเชื้อแม้จะมีผลตรวจออกมาเป็นลบ

✅ Reverse Transcription-Polymerase Chain Reaction (RT-PCR) เป็นการเก็บสารคัดหลั่งในโพรงจมูกหรือในลำคอของผู้ป่วยแล้วนำเชื้อในสารคัดหลั่งไปเพาะเลี้ยง มักทำเมื่อตรวจไม่พบเชื้อในกรณีที่ใช้ชุดทดสอบแบบแรก แต่แพทย์ยังคงสงสัยว่าได้รับเชื้อจริงหรือจำเป็นต้องได้รับการยืนยันที่แน่นอนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งจำเป็นต้องรอผลการเพาะเชื้อประมาณ 3–7 วัน