ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย พบว่า คนไทยมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดรัอยละ 6 – 10 หรือ ประมาณ 6 – 7 ล้านคน ซึ่งเป็นพาหะของโรคหรือมีอาการเรื้อรัง
การติดต่อ
1.ติดจากมารดาซึ่งมีเชื้อในเลือด ติดต่อสู่ทารกในตอนคลอด เนื่องจากในวัยเด็กภูมิคุ้มกันยังไม่ดีพอ โอกาสกำจัดเชื้อไวรัสได้ยาก
2. ติดต่อทางเลือด เช่น การรับเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (การติดต่อทางเลือดนี้ ลดลงมาก นับตั้งแต่มีการตรวจคัดกรองเมื่อบริจาคเลือด)
3.ติดต่อทางเข็มฉีดยา การฝังเข็ม และเครื่องมือต่างๆ ที่ปนเปื้อนเชื้อ
4.ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเชื้อนี้สามารถตรวจได้ในน้ำตา น้ำมูกในโพรงจมูก น้ำอสุจิ เยื่อเมือกช่องคลอด เลือดประจำเดือน และน้ำคร่ำ ดังนั้นจึงสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์และเมื่อมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งดังกล่าว
อาการ
เมื่อมีการติดเชื้ออาจมีอาการได้เป็น 3 แบบ คือ
1.เป็นพาหะของโรค ตรวจพบเชื้อในเลือด แต่ไม่มีอาการใดๆ และตรวจเลือดไม่พบว่ามีตับอักเสบ แต่สามารถ แพร่เชื้อไห้ผู้อื่นได้
2.ตับอักเสบเฉียบพลัน มีอาการตับอักเสบ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืดท้องเฟ้อ อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ และตามมาด้วยอาการตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม อาการจะหายภายใน 1 – 4 สัปดาห์ บางรายอาจเป็นนานถึง 6 สัปดาห์ ภายใน 10 สัปดาห์การทำงานของตับส่วนใหญ่กลับสู่ปกติ และมีภูมิคุ้มกัน และส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงจนตับวายและเสียชีวิต
3.อาการตับอักเสบเรื้อรัง คือ หลังได้รับเชื้อมีอาการตับอักเสบติดต่อกันเป็นเวลายาวนานตรวจเลือดพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของ SGPT, SGOT ติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน โดยอาจมีอาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือไม่มีอาการก็ได้ สามารถทำให้เกิดเป็นโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ในบางราย
ผู้ที่ติดเชื้อจากมารดาในวัยทารกมีโอกาสเป็นพาหะ หรือเป็นตับอักเสบเรื้อรัง 50 – 90% เนื่องจากภูมิคุ้มกันในวัยทารกยังไม่แข็งแรง ส่วนผู้ที่ติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่ มีโอกาสเป็นพาหะหรือเป็นตับอับเสบเรื้อรังร้อยละ 10 เท่านั้น
การรักษา แบ่งผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม
1.กลุ่มที่เป็นพาหะ ได้แก่ ผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัส โดยไม่มีอาการและตรวจการทำงานของตับปกติ ในกลุ่มนี้ความรุนแรงไม่มาก และโอกาสตอบสนองต่อการให้ยาต้านไวรัสน้อย ปัจจุบันยังไม่แนะนำให้ยาต้านไวรัสในระยะนี้
2.กลุ่มที่สอง ได้แก่ ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจมีหรือไม่มีอาการ ตรวจพบเชื้อไวรัสและตรวจการทำงานของตับ SGOT, SGPT สูงกว่าค่าปกตินานกว่า 6 เดือน กลุ่มนี้พิจารณาให้ยาต้านไวรัส เมื่อมีปริมาณไวรัสสูงมากกว่า 100,000 copies ต่อมิลลิลิตร (= 20,000 IU/ml)
3.กลุ่มที่เป็นระยะตับแข็ง ถ้าพบว่ามีเชื้อไวรัสในเลือด ใช้ยาต้านไวรัสและพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนตับเมื่อมี ข้อบ่งชี้และไม่มีข้อห้าม
การป้องกันไม่ให้เป็นไวรัสตับอักเสบ บี
1. การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ในรายที่ยังไม่พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และไม่มีภูมิคุ้มกันโรค โดยฉีดวัคซีน 3 ครั้ง ที่ 0 , 1 และ 6 เดือน
2. ใช้ถุงยางอนามัยถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ หากท่านยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
3. ไม่ใช้เข็มฉีดยา , เข็มสัก , มีดโกน , เข็มเจาะหู , แปรงสีฟัน , ที่ตัดเล็บ ร่วมกัน
4. ไม่สัมผัสกับเลือด , น้ำคัดหลั่งจากผู้ที่มีเชื้อ
การปฏิบัติตัวเมื่อท่านเป็นไวรัสตับอักเสบ บี
หากมีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน ควรขอรับคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิด โดยวิธีการปฏิบัติตัวหากมีเชื้ออยู่ในร่างกายทำได้ดังนี้
· รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
· รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับมีการอักเสบมากหรือน้อย
· บอกให้คนใกล้ชิดทราบ เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากคนใกล้ชิดนั้นไม่มีภูมิและเชื้อ
· มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
· งดบริจาคเลือด
· ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
· ควรตรวจร่างกายและตรวจเลือดหาระดับสารบ่งบอกมะเร็งตับ AFP (alpha-fetoprotein) และทำ อัลตราซาวนด์ช่องท้องสม่ำเสมอทุกปีในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีภาวะตับแข็ง เพศชายอายุมากกว่า 45 ปี เพศหญิง อายุมากกว่า 50 ปี และมีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว เพื่อหามะเร็งตับในระยะเริ่มแรก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การรักษา แบ่งผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร ควรฉีดวัคซีนให้บุตรภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
1.กลุ่มที่เป็นพาหะ ได้แก่ ผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัส โดยไม่มีอาการและตรวจการทำงานของตับปกติ ในกลุ่มนี้ความรุนแรงไม่มาก และโอกาสตอบสนองต่อการให้ยาต้านไวรัสน้อย ปัจจุบันยังไม่แนะนำให้ยาต้านไวรัสในระยะนี้
2.กลุ่มที่สอง ได้แก่ ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจมีหรือไม่มีอาการ ตรวจพบเชื้อไวรัสและตรวจการทำงานของตับ SGOT, SGPT สูงกว่าค่าปกตินานกว่า 6 เดือน กลุ่มนี้พิจารณาให้ยาต้านไวรัส เมื่อมีปริมาณไวรัสสูงมากกว่า 100,000 copies ต่อมิลลิลิตร (= 20,000 IU/ml)
3.กลุ่มที่เป็นระยะตับแข็ง ถ้าพบว่ามีเชื้อไวรัสในเลือด ใช้ยาต้านไวรัสและพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนตับเมื่อมี ข้อบ่งชี้และไม่มีข้อห้าม
การป้องกันไม่ให้เป็นไวรัสตับอักเสบ บี
1. การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ในรายที่ยังไม่พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และไม่มีภูมิคุ้มกันโรค โดยฉีดวัคซีน 3 ครั้ง ที่ 0 , 1 และ 6 เดือน
2. ใช้ถุงยางอนามัยถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ หากท่านยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
3. ไม่ใช้เข็มฉีดยา , เข็มสัก , มีดโกน , เข็มเจาะหู , แปรงสีฟัน , ที่ตัดเล็บ ร่วมกัน
4. ไม่สัมผัสกับเลือด , น้ำคัดหลั่งจากผู้ที่มีเชื้อ
การปฏิบัติตัวเมื่อท่านเป็นไวรัสตับอักเสบ บี
หากมีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน ควรขอรับคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิด โดยวิธีการปฏิบัติตัวหากมีเชื้ออยู่ในร่างกายทำได้ดังนี้
· รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
· รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับมีการอักเสบมากหรือน้อย
· บอกให้คนใกล้ชิดทราบ เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากคนใกล้ชิดนั้นไม่มีภูมิและเชื้อ
· มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
· งดบริจาคเลือด
· ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
· ควรตรวจร่างกายและตรวจเลือดหาระดับสารบ่งบอกมะเร็งตับ AFP (alpha-fetoprotein) และทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องสม่ำเสมอทุกปีในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีภาวะตับแข็ง เพศชายอายุมากกว่า 45 ปี เพศหญิง อายุมากกว่า 50 ปี และมีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว เพื่อหามะเร็งตับในระยะเริ่มแรก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
· หญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร ควรฉีดวัคซีนให้บุตรภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ศูนย์ตรวจสุขภาพ ( Wellness Center )
เปิดบริการทุกวัน
โทร 053 – 910999 ต่อ 167 , 168
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์