โรคอ้วนคือภาวะที่มีไขมันสะสมในเนื้อเยื่อมากกว่าปกติจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนภาวะน้ำหนักเกิน คือภาวะที่มีน้ำหนักสูงกว่ามาตรฐานเนื่องจากมีไขมันมาก วิธีง่ายๆที่จะทราบว่าท่านเป็นโรคอ้วนหรือไม่ ทำได้โดยชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง เมื่อนำน้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสองจะได้ตัวเลขออกมาเรียกค่าตัวเลขนี้ว่า ดัชนีมวลกาย ดัชนีมวลกายนี้ยิ่งมากก็ยิ่งแสดงว่ามีน้ำหนักที่มากเมื่อเทียบกับความสูงของตนเองหรือ มีความอ้วนมากนั่นเอง
ทางการแพทย์ถือว่าผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 เป็นโรคอ้วน คืออ้วนจนเสียสุขภาพหรือเกิดโรคขึ้น
ผู้ที่ดัชนีมวลกาย(BMI)มากกว่า 25 แต่ไม่เกิน 30 ถือว่ามีภาวะน้ำหนักเกิน
ผลเสียของโรคอ้วน
ภาวะน้ำหนักเกินนั้นแม้จะดูไม่สวยงาม แต่ยังมีผลเสียต่อสุขภาพไม่มาก ต่างกับโรคอ้วนที่จำเป็นต้องรักษามิเช่นนั้นจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาดังนี้
1. กระดูกและข้อ ต้องรับน้ำหนักมากเกินความเสื่อมของข้อเร็วกว่าปกติ เกิดอุบัติเหตุ และความพิการได้มากกว่าปกติ
2.ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีความดันโลหิตสูงขึ้น มีไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ และสมองมากกว่าปกติ
3.ระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอดเหนื่อยง่าย มีภาวะขาดออกซิเจนในขณะหลับ ทำให้มีผลต่อระดับสติปัญญาและการเรียนรู้
4.ระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าปกติ
5.ระบบต่อมไร้ท่อ เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้เป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนปกติ
นอกจากนี้โรคอ้วนในบางคนยังอาจส่งผลต่อจิตใจ หน้าที่การงานและสังคมอีกด้วย
สาเหตุของโรคอ้วน
เกิดจาก 2 ปัจจัยคือ
1. พันธุกรรม มีผลต่อความรู้สึกหิว และการเผาผลาญพลังงาน โดยผ่านกลไกทางฮอร์โมนในสมอง
2. สิ่งแวดล้อม ลักษณะการบริโภคอาหาร กิจวัตรประจำวัน การออกกำลังกายและการพักผ่อนมีผลอย่างมากต่อน้ำหนักตัว
การรักษาโรคอ้วน การรักษาโรคอ้วนที่จะได้ผลในระยาว จะต้องประกอบด้วย
1. การควบคุมอาหาร หลักการคือ ลดอาหารที่ให้พลังงานสูง ได้แก่อาหารทอด ไขมัน เนื้อ ติดมัน กะทิ น้ำอัดลม ขนมหวาน ขนมทอดกรอบ การประกอบอาหารต้องเปลี่ยนจากการทอด การใช้น้ำมันหรือการใช้กะทิ มาเป็นการนึ่ง ตุ๋น อบ ย่าง และลดกะทิให้น้อยลง เปลี่ยนจากการกินขนมจุบจิบ และน้ำอัดลม มาเป็นกินผลไม้ที่ไม่หวานจัดและดื่มน้ำเปล่า
2. การออกกำลังกาย และกิจกรรมที่ใช้กำลังงาน การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายที่หนักมาก การเดินเร็วๆ 30 นาทีต่อวัน การยืน เดินไปมา แทนที่จะนั่งหรือนอนเฉยๆเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ถึงร้อยละ 50
3. การปรับพฤติกรรม การปรับพฤติกรรมการกินอาหารและการออกกำลังกายจะทำให้สามารถลดน้ำหนัก ได้อย่างยั่งยืน เทคนิคที่ใช้กันบ่อยมีดังนี้
3.1 การบันทึกอาหารที่รับประทาน และกิจกรรมประจำวัน ช่วยให้ทราบจุดบกพร่อง และติดตามการเปลี่ยนแปลง
3.2 การควบคุมตัวกระตุ้นที่นำไปสู่การกินอาหาร เช่นการดูโทรทัศน์ไปพร้อมกับการกินขนมจุบจิบ หรือดื่มน้ำหวานน้ำอัดลม การซื้ออาหาร หรือขนมขบเคี้ยวมากักตุนไว้ในบ้านวางอยู่ในที่เห็นได้ชัดจะกระตุ้นให้มีการกินมากขึ้น
ข้อแนะนำ คือ กินเฉพาะที่โต๊ะอาหาร หากิจกรรมอื่นทดแทนการกินขณะดูโทรทัศน์ เก็บขนมและอาหารไว้ในตู้ทึบ และหลีกเลี่ยงการตุนอาหารหรือขนม
3.3 การควบคุมพฤติกรรมการกินเช่น กินให้ช้าลง ตักอาหารใส่จานให้น้อยลง กินเพียงจาน เดียว และกินเพียง 3 มื้อ โดยกินอย่างมีสติเมื่อรู้สึกหิว มิใช่อยากกิน