โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือ ร่างกายดื้อต่อฤทธิ์ของอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ น้ำตาลในเลือด ที่สูงอยู่เป็นระยะเวลานานทำให้หลอดเลือดตีบแข็งทั่วร่างกาย ก่อให้เกิด โรคแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตาบอด ไตวาย อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
อาการของโรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลคนปกติจะอยู่ในช่าง 60 – 100 มก./ดล. ก่อนรับประทานอาหารเช้า ผู้ป่วยเบาหวานที่มี
น้ำตาลสูงจากค่าปกติไม่มากอาจไม่มีอาการ
ผู้ป่วยที่มีน้ำตาลสูงกว่าค่าปกติมากอาจมีอาการจากน้ำตาลในเลือดสูงหรือจากภาวะแทรกซ้อนได้แก่
- ปัสสาวะบ่อยและมาก เกิดจากการที่น้ำตาลรั่วมากับปัสสาวะและดึงน้ำออกมาด้วย
- คอแห้ง ดื่มน้ำมาก กระหายน้ำ เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากทางปัสสาวะ
- หิวบ่อยทานจุ แต่น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย เกิดจากการที่ร่างกายใช้กลูโคสเป็นอาหารไม่ได้
- แผลหายยาก มีการติดเชื้อทางผิวหนัง เกิดแผลได้บ่อย ติดเชื้อราในช่องคลอดเพราะน้ำตาลที่สูงทำให้การ
ทำงานของเม็ดเลือดขาวลดลงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- ตาพร่ามัวจากน้ำตาลคั่งในเลนส์ตา ต้อกระจกหรือโรคจอประสาทตาจากเบาหวาน
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน
“โรคเบาหวาน” วินิจฉัยจากการตรวจน้ำตาล หรือ ฮีโมโกลบิน A1C ในเลือด (ฮีโมโกลบิน A1C
ในเลือดเป็นตัวบ่งบอกค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดย้อนหลังไป 3 เดือน) มีเกณฑ์การวินิจฉัยเบาหวาน
ตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
1. มีอาการของโรคเบาหวานและระดับน้ำตาลในเลือดโดยไม่ต้องอดอาหารได้ตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไป
2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ได้ตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป
3. ตรวจฮีโมโกลบิน A1C ในเลือดโดยไม่ต้องอดอาหารได้ตั้งแต่ 6.5 % ขึ้นไป
“ภาวะก่อนเป็นเบาหวาน” คือ การที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าคนปกติแต่ยังไม่สูงถึงเกณฑ์เป็น
โรคเบาหวาน พบว่าภาวะนี้จะกลายเป็นโรคเบาหวานจริงๆ ใน 10 ปี หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ไม่ออกกำลังกาย ไขมันในเลือดสูง โดยวินิจฉัยจากข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
1. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ได้ 100 – 125 มก./ดล.
2. ตรวจฮีโมโกลบิน A1C ในเลือดโดยไม่ต้องงดอาหารได้ 5.7 – 6.4%
การป้องกันโรคเบาหวาน
ผู้ที่ตรวจพบว่ามีภาวะก่อนเป็นเบาหวาน ควรปฏิบัติดังนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคเบาหวาน
1. ถ้าน้ำหนักเกิน ให้ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักลงให้เป็นปกติ
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที ต่อ สัปดาห์
3. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
4. ตรวจหาภาวะอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย และให้การรักษา เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง
5. ลดอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทุกชนิด แป้ง ไขมัน และของทอด โดยใช้สารให้ความหวาน
แทนน้ำตาลได้
6. รับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช ให้มากขึ้น แทนแป้ง น้ำตาล และไขมัน
7. ตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือด หรือ ฮีโมโกลบิน A1C ปีละครั้ง
การรักษาโรคเบาหวาน
ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว ควรปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ที่ทราบว่ามีภาวะก่อนเป็นเบาหวาน และ
ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม และติดตามผลการรักษา เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาด
และหาก ไม่ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน
เป้าหมายในการรักษาโรคเบาหวาน
1. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร = 70 – 130 มก./ดล.
2. ระดับฮีโมโกลบิน A1C น้อยกว่า 7%
3. ควบคุมระดับไขมันในเลือด ความดันโลหิต และน้ำหนักตัว จนอยู่ในเกณฑ์ปกติ
โรคแทรกซ้อนของเบาหวาน
เป็นผลจากการควบคุมเบาหวานได้ไม่ดีอาจมีปัจจัยอื่นร่วมได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
การสูบบุหรี่
ภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้น เป็นภาวะแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน ได้แก่ การเกิดเลือดเป็นกรดจาก
คีโตน ภาวะหมดสติจากน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูงก่อให้เกิดการติดเชื้อ การเกิดน้ำตาลต่ำจากยาที่
ใช้รักษาเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว การควบคุมเบาหวานไม่ดีในระยะยาวทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังในระยะ
ยาวได้แก่ โรคจอประสาทตาจากเบาหวาน โรคไตวาย โรคประสาทส่วนปลาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอด
เลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดส่วนปลาย นำไปสู่ความสูญเสียชีวิตและพิการ