• เด็กมีอาการซึมลง ไม่เล่น ไม่อยากรับประทานอาหาร
หรือนม
• บ่นปวดศีรษะมาก ปวดทนไม่ไหว
• มีอาการพูดเพ้อไม่รู้เรื่อง สลับกับการซึมลง หรือเห็นภาพ
แปลกๆ
• ปวดต้นคอ คอแข็ง มีการรับรู้สับสน ซึมลง และอาเจียน
• มีอาการสะดุ้งผวา ตัวสั่นๆ แขนหรือมือสั่นบ้าง
• มีอาการไอ หายใจเร็ว ดูเหนื่อยๆ หน้าซีด มีเสมหะมาก
โดยอาจมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้
การรักษาโรคมือเท้าปาก
• โรคมือเท้าปากยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะรักษา
ตามอาการของผู้ป่วย เช่น เจ็บคอมาก รับประทานอะไรไม่ได้
ผู้ป่วยดูเพลียจากการขาดอาหารและน้ำ ผู้ปกครองควรพยายาม
ป้อนน้ำ นมและอาหารอ่อน ในรายที่เป็นเด็กอ่อนควรป้อนนม
แทนการดูดจากขวด เมื่อมีไข้ให้เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ
• ในรายที่เพลียมากอาจให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้แก้ปวด
และ/หรือหยอดยาชาในปากเพื่อลดอาการเจ็บแผลในปาก
ร่วมกับการเฝ้าระวังสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนทาง
สมองและหัวใจเป็นต้น
การป้องกันโรคมือเท้าปาก
เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสที่ก่อให้
เกิดโรคมือเท้าปากเปื่อย สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลรักษา
สุขอนามัยที่ดี โดย
• หลีกเลี่ยงการให้เด็กคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย
• รักษาอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะผู้เลี้ยงดูเด็กเล็กควร
ล้างทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับอาหาร และรับประทาน
อาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำ
สะอาด
• ไม่ใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
โดยเฉพาะช้อน จาน ชาม แก้วน้ำ ขวดนม
• เมื่อเช็ดน้ำมูกหรือน้ำลายให้เด็กแล้วต้องล้างมือให้สะอาด
โดยเร็ว
• รีบซักผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระให้สะอาดโดยเร็ว
และทิ้งน้ำลงในโถส้วม ห้ามทิ้งลงท่อระบายน้ำ
• หากเด็กมีอาการของโรคมือเท้าปากให้รีบพาเด็ก
ไปพบแพทย์ และเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมือเท้าปาก
เปื่อยต้องให้เด็กหยุดเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือจนกว่า
แผลจะหาย
ในกรณีที่มีการติดเชื้อโรคมือเท้าปากชนิดที่มีอาการ
รุนแรงโดยเฉพาะมีการเสียชีวิต เช่น เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71
สถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาลอาจจำเป็นต้องใช้
มาตรการการป้องกันที่เข้มข้นขึ้น เช่น
- การปิดทั้งโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ทำความสะอาดห้องเรียนและของเล่นต่างๆ
- การคัดแยกเด็กป่วยออกตั้งแต่เดินเข้าที่หน้าประตูโรงเรียน
- การหมั่นล้างมือ เช็ดถูทำความสะอาดห้องเรียนและ
ของเล่นต่างๆ